เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ มี.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม(วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

สังคมเราอยู่ด้วยกันเห็นไหม เขาไม่เบียดเบียนกัน เขาให้อภัยกัน การให้อภัยกันเห็นไหม สิ่งที่ให้อภัยกันเป็นสังคมโลก สิ่งนั้นก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ให้อภัยกัน เพื่อจะได้แก้ไข เพื่อจะได้เปลี่ยนแปลง นี่คือเรื่องของสังคม แต่ในเรื่องของการปฏิบัติ เห็นไหม หลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านบอกเวลาอยู่ด้วยกันเหมือนพ่อกับลูกเลย หลวงปู่มั่นโอ้โฮ พูดนะ พูดนี่แบบสนิทชิดเชื้อมาก เพราะความอบอุ่น เพราะการไว้ใจกัน หลวงปู่มั่นรักหลวงปู่เจี๊ยะมากกับรักหลวงตามากเพราะอะไร

เพราะหลวงปู่มั่นเวลาท่านป่วยอยู่ที่เชียงใหม่เห็นไหม ตอนอยู่ที่เชียงใหม่ป่วยเป็นไข้ป่าอยู่ออกมาจากเชียงใหม่ หลวงปู่เจี๊ยะท่านอุปัฏฐากไง ประชุมสงฆ์กันว่า หลวงปู่มั่นท่านป่วยไปนอนอยู่โรงพยาบาลแล้วใครจะไปดูแล หลวงปู่เจี๊ยะท่านยกมือเลยว่าท่านจะขอมาดูแล แล้วพอดูแลเห็นไหม เวลาบอกหลวงปู่มั่นบอกว่า เห็นท่านเจ้าคุณอุบาลีบอกไว้ว่า ถ้าคนแก่นะให้เอามือเด็กๆ เอามือมาจับมาคลำ ไม่ต้องนวด จับคลำ ธาตุไฟของคนหนุ่มมันจะเข้าไปรักษาคนแก่ ให้คนแก่มีธาตุไฟร่างกายจะแข็งแรงขึ้นมา

หลวงปู่เจี๊ยะท่านดูแลท่านรักษาเห็นไหม หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงตาบอกว่าหลวงปู่มั่นรักหลวงปู่เจี๊ยะมาก หลวงปู่มั่นรักหลวงตามาก เวลาคุยกันนะ ด้วยสังคมด้วยความเป็นอยู่จะรักใคร่จะพูดจาให้อบอุ่นมาก หลวงตาบอกว่าถ้าพูดธรรมะนี่ไม่ได้เลย ถ้าพูดธรรมะขึ้นมาถามธรรมะขึ้นมา เปรี้ยง เปรี้ยง ใส่ทันทีเลย จะคลาดเคลื่อนจากความจริงไม่ได้เลย

นี่เรื่องของโลกเห็นไหมความอบอุ่น พ่อแม่รักลูกนะ จะดูแลถนอมรักษามาก แต่เวลาเอาตามข้อเท็จจริงนี่ เราจะปล่อยให้ลูกเรามันทำตามใจมันได้ไหม มันทำตามใจมันไม่ได้ หลวงตาท่านเล่าประจำว่าหลวงปู่เจี๊ยะนะ เวลาหลวงปู่เจี๊ยะออกมา หลวงปู่มั่นท่านคิดถึงท่านอาลัยอาวรณ์ขนาดไหน เพราะเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาทุกข์ยากขึ้นมาใครเป็นคนดูแลรักษา หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็ย้อนกลับไปที่หลวงปู่มั่น

ตอนที่อยู่ปทุมธานีเห็นไหม ถ้าวันไหนอาหารมามันมีคุณภาพขึ้นมา จะคิดถึงน้ำตาไหลทุกที คิดถึงครูบาอาจารย์ของเราว่าทุกข์ยากลำบากอยู่ในเขา คิดถึงว่าไม่เคยได้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาสู่ความสุขสบายเลย เห็นไหมเวลาคิดถึง คิดถึงกันด้วยใจ นี่พูดถึงเรื่องโลกนะ การให้อภัยกันการถนอมรักษากัน นี่เป็นเรื่องโลกๆ นะ แต่เรื่องจะเข้าไปถึงสัจจะความจริง มันให้อภัยกันไม่ได้ ถ้ายิ่งให้อภัยกันมันก็ยิ่งชักกันพากันลงคลอง ลงเหวไปสิ มันต้องพูดความจริงใช่ไหม พูดความจริงให้คนทำความจริงได้ถึงความจริงอันนั้น ไม่ใช่ปล่อยให้มันไหลลงไปตามนั้น

เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า คนตาบอดกับคนตาดี เวลาคนตาบอดพูดน่ะ พูดภาษาลูบๆ คลำๆ ประสาคนตาบอดเห็นไหม แล้วคนตาดีพูดภาษาคนตาดี ถ้าคนตาดีไม่พูดตามความเป็นจริง คนตาบอด คนตาบอดเห็นไหมก็ต้องว่าไป นิพพานเป็นนิพพานไม่ได้ นิพพานถ้าเป็นนิพพาน นิพพานเป็นตัวตนเห็นไหม คำว่าตาบอดเป็นตัวตน เป็นตัวตนเป็นของเรา เพราะมีนิพพานเป็นของเรา ต้องนิพพานเป็นสักแต่ว่าเห็นไหม ตาบอดคลำช้าง ตาบอดก็ว่ากันไป แต่คนตาดีบอกนิพพานก็คือนิพพาน ถ้านิพพานเป็นเรา ถ้าเป็นเราเห็นไหม ไม่ มันไม่ใช่เป็นเรา ถ้าสักแต่ว่าน่ะคือเป็นเรา เพราะมีเรามีเขา และมีสักแต่ว่ามีแต่เขา

แต่ถ้ามันเป็นนิพพาน แต่นิพพานใครเป็นคนพูดล่ะ คนพูดไม่ใช่พูดว่านิพพาน คนพูดพูดแทนนิพพานต่างหากล่ะ มันเป็นการพูดแทนเพราะไม่มีตัวตนไม่มีสิ่งใดๆ เลยใช่ไหม แต่ภาษาสมมุติ ภาษาสื่อสาร ความเป็นครูบาอาจารย์ก็ต้องบอกกัน พอบอกกันนิพพานคือนิพพาน แต่ไม่ใช่นิพพานเป็นเรา ไม่มีเราแล้วคนพูดพูดทำไม คนพูดออกมาถ้าไม่มีตัวตน มันพูดนิพพานออกมาได้อย่างไร แต่คำพูดออกมาอย่างนั้น พูดแทนไง

เพราะนิพพานพูดกับเราไม่ได้ วิมุตติเข้ามาสู่สมมุติบัญญัติไม่ได้ วิมุตติมันเป็นวิมุตติไปแล้ว มันจะกลับเข้ามาสู่สมมุติบัญญัติไม่ได้อีกเลย ถ้ากลับเข้าสู่สมมุติบัญญัติมันอยู่กันคนละสถานะอยู่แล้ว อฐานะเห็นไหม อกุปปธรรม กุปปธรรม สัพเพ ธัมมาอนัตตานี่ กุปปธรรม ธรรมะเป็นเรา สัพเพ ศึกษาธรรมะเห็นไหม ธรรมะเป็นเรา สรรพสิ่งรับรู้ได้เพราะอะไร เพราะมีเรามีเขา นี่กุปปธรรม กุปปธรรมคือสัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะอนัตตานี่เป็นกุปปธรรม อกุปปธรรม อกุปปธรรม อฐานะที่จะมีการเปลี่ยนแปลง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันอฐานะแล้ว มันเป็นอฐานะนี่คือมันจะเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้เห็นไหม กุปปธรรม อกุปปธรรมนี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นสัจจะความจริง มันไม่ใช่ว่าสิ่งที่ว่าเป็นสักแต่ว่า สักแต่ว่า สักแต่ว่ามันก็ถนอมรักษาน่ะ เห็นไหม นี่คือสัจจะความจริง พูดถึงมันมีโลกกับธรรม เวลาโลกเขาก็ต้องให้อภัยกัน เวลาโลกพูดให้สะเทือนใจกันนี่มันเป็นการเสียมารยาท สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลก เห็นไหม หลวงตาท่านพูดอีกว่า โลกนะ ลูบหน้าปะจมูก จะพูดว่าก็เกรงอก เกรงใจนะ จะพูดไปก็สะเทือนใจคนนั้นสะเทือนใจคนนี้เห็นไหม มันเป็นการสะเทือนใจกันหมด

ใช่ เวลาเป็นโรคเห็นไหม เวลาอยู่ด้วยกันโดยสามัญสำนึกเราอยู่ด้วยกัน มันก็เป็นการให้อภัยกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเป็นเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญา มันให้อภัยไม่ได้ มันให้อภัยมันก็ทำให้ดินพอกหางหมูใช่ไหม ผิดครั้งที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ มันก็ผิดกันไปเรื่อยใช่ไหม แล้วถ้าผิดแล้วมันจะไปไหนล่ะ ยิ่งถ้าผิดแล้วก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรอยู่อย่างนั้น เราก็จะอ่อนแออยู่อย่างนั้นนะ

ไม่เป็นไร คำว่าไม่เป็นไรเวลาเป็นขึ้นมามันเป็นความเสียหายของเรา เราจะเสียหายมาก สิ่งที่เราเสียหายเพราะอะไร เพราะเราตาบอด เพราะเราตาบอดครูบาอาจารย์ก็ตาบอดไปด้วย ผู้ที่ตาบอดมันก็คลำช้างกันไปเรื่อยๆ ตาบอดคลำช้าง แล้วก็อ้างพุทธพจน์ตลอดเวลา อ้างสัจจะความจริงตลอดเวลา แล้วเวลาพอปฏิบัติจริงขึ้นมา อันนี้มันนอกพุทธพจน์มันเอาความจริงนี้เอาคำพูดนี้มาจากไหน ก็เอามาจากประสบการณ์เอามาจากความจริงในหัวใจที่มันเป็น ในหัวใจที่เป็นจริงที่มันเป็นขึ้นมา สิ่งนี้มันจริงขึ้นมาเพราะมันจริงขึ้นมา มันถึงจะเป็นสภาวะแบบนั้น

แล้วมันจริงขึ้นมามันเป็นเพราะเหตุใด มันเป็นเพราะเหตุใด สิ่งที่มันเป็นเพราะเหตุใด เพราะเหตุที่การกระทำ มันทำมาเท่าไรมาตั้งแต่เหตุ แล้วเหตุมันเป็นอย่างไร เหตุมันสร้างมาอย่างไร มันถึงได้มาเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าความจริงอย่างนี้มันมีการกระทำขึ้นมาเป็นความจริงอย่างนี้เห็นไหม เราเคยทำผิดพลาดมา แล้วคนอื่นจะทำความผิดที่เราเคยผิดมา ครูบาอาจารย์ท่านจะปล่อยให้เป็นความผิดไปไหม

ถ้าปล่อยให้เป็นความผิดไปก็ไม่รับผิดชอบสิ ความรับผิดชอบเห็นไหม ตาดีกับตาบอด ตาบอดมันก็พูดประสาตาบอด ความจำ ถ้าเป็นปริยัติโดยมากก็คือความจำของเขา แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ความจริงเนี่ย ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน สิ่งที่มันรู้ขึ้นมา แต่รู้ขึ้นมามันแก้กิเลสได้นะ เห็นไหม ดูสิ เวลาเราศึกษาธรรมขึ้นมา มันก็ลังเลสงสัย มันชำระความสงสัยเราไม่ได้ มันจะถอดถอนกิเลสตัณหาทะยานอยากนี้เป็นไปไม่ได้เลย มันก็มีขุ่นมัวอยู่ในใจตลอดไปนั้นล่ะ ทั้งที่รู้เท่าขนาดไหน ปล่อยวางขนาดไหน มันก็ขุ่นมัวอย่างนั้นน่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าเป็นไปได้ต้องขุด ต้องถอน ต้องถอนรากถอนโคน ถ้าการขุดการถอนรากถอนโคนมันก็ต้องมีความจริงจัง มันก็ต้องมีการกระทำของมัน แล้วการกระทำนั้น เพราะเราเห็นไง เห็นเวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมาเราแสวงหาขึ้นมาใช่ไหม เราวิ่งเต้นเผ่นกระโดดขึ้นมาเพราะความทุกข์นี่ตัณหาความทะยานอยากมันขับดันไป แล้วเวลาเราปฏิบัติธรรมแล้ว เราก็จะไม่อยากให้มีตัณหาความทะยานอยากเลย อยากให้มันสงบนิ่งให้มันเป็นผลของการปฏิบัติเลย

มันเอามาจากไหน เวลาวิ่งเต้นเผ่นกระโดดไปตามประสาโลกมันเป็นตัณหาความทะยานอยาก แต่เวลาวิ่งเต้นเผ่นกระโดดพยายามวิริยะอุตสาหะเพื่อการทำความดี มันก็เป็นกิริยาอันเดียวกัน แต่อันเดียวกันเพื่อจะถอดจะถอน ถ้าถอดถอนมาแล้วมันถึงเป็นความจริง ฉะนั้น การกระทำอันนี้มันต้องมีการกระทำ มันต้องเป็นความจริงของมัน เราเป็นคนตาบอด ยังโชคดีน่ะมีคนตาดีอยู่ มีครูบาอาจารย์เป็นผู้ที่ตาดีอยู่ และคอยบอกคอยแนะคอยชี้ หลวงตาท่านพูดนะ ไม่มีหลวงปู่มั่นไม่มีครูบาอาจารย์มันจะมาได้อย่างไร

ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงปู่คำดีท่านติดเห็นไหม หลวงปู่คำดี หลวงตาท่านพูดประจำ รู้อยู่ว่ามันไปไม่ได้ รู้ว่าติดแต่ไปไม่ได้ ติดนะ อาราธนาเลย ขอให้มหามาแก้ให้หน่อย อยากให้ใครมาแก้ให้ นี่เหมือนกัน เรารู้อยู่ จิตใต้สำนึกรู้อยู่ว่าเรามีอะไรในใจกัน แล้วจะไปอย่างไร มันจะไปอย่างไร มันจะฝืนไปอย่างไร แล้วก็ว่ามันรู้เท่ามันก็จบแล้ว จบแล้ว ไอ้นั่นมันตาบอด ตาบอดบอกเราเราเชื่อคนตาบอดทำไม เราก็บอดอยู่เขาก็บอดอยู่ แล้วคนตาบอดจูงคนตาบอดจะให้เขาจูงเราไปใช่ไหม จะให้คนตาบอดจูงเราไปอย่างนี้หรือ แล้วเราจะยอมให้เขาจูงไปอย่างนี้หรือ แล้วทำไมเราไม่คิดบ้างล่ะ ว่าเขาตาบอด เขาตาบอดใช่พุทธพจน์เราก็รู้พุทธพจน์ ใครก็พูดได้ทั้งนั้น

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ลืมตาขึ้นมาให้ได้สิ ถ้าลืมตาขึ้นมาได้มันจะแก้ไขมันได้ ถ้าแก้ไขมันได้มันจะย้อนกลับเข้ามาที่ตัวมัน ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางปริยัติแล้วถึงต้องปฏิบัติล่ะ ถ้าปริยัติมันก็คือปริยัติแล้ว รู้แล้วก็คือรู้แล้วสิ รู้แล้วเข้าใจแล้วมันก็ควรจะจบ ทำไมต้องมีภาคปฏิบัติอีกล่ะ แล้วเวลาปฏิบัติเห็นไหม ทำไมปริยัติ ปฏิบัติ ปริเวธ ภาคปฏิบัติศึกษาธรรม ศึกษาธรรมมาผิด มันไม่ผิดหรอก ไม่ได้ขัดแย้ง

ไม่ได้โต้แย้งปริยัติน่ะ ไม่ได้โต้แย้งเรื่องพุทธพจน์นะ เพราะพระพุทธเจ้าให้ศึกษาใคร่ครวญทั้งนั้น แต่ในขั้นของปริยัติความรู้อย่างนี้ก็เป็นความรู้จำ ความรู้อย่างนี้เพื่อจะติดปัญญาให้เราเพื่อที่จะแสวงหาออกไปเพื่อปฏิบัติ แล้วถ้าประพฤติปฏิบัตินะความรู้อย่างนี้มันจะช่อโกงมาไม่ได้ ลิขสิทธิ์ของพระพุทธเจ้า มันเป็นลิขสิทธิ์ของท่าน ท่านไม่ได้มาทวงสิ่งใดเราเลย แต่เราปฏิบัติขึ้นมาแล้ว พอมาถึงที่เห็นไหมดูเวลาเป็นจริงแล้ว

เวลาพระสารีบุตรเวลาเทศนาว่าการเห็นไหม คนก็อ้างอย่างนี้อ้างพุทธพจน์พระสารีบุตรไม่เชื่อเลย บอกไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไอ้พวกที่ฟังก็งงเห็นไหม อัครสาวกเบื้องขวาแท้ๆ เลย ทำไมไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถามว่าเธอไม่เชื่อเราหรือ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ เพราะว่าความเชื่อเห็นไหม ความเชื่อคือสิ่งที่เราจำมา เพราะเป็นความเชื่อแล้วความจริงล่ะ พอพระสารีบุตรอธิบายแล้ว เชื่อ.. แต่ก่อนแต่ไรที่ยังตาบอดอยู่ คนตาบอดก็ให้คนตาดีจูงไปก่อนเพื่อประพฤติปฏิบัติก็เชื่อ แต่พอปฏิบัติแล้ว ความเชื่อมันเป็นอันหนึ่งเห็นไหม มันเป็นปริยัติ ความเชื่อในปริยัติก็เห็นๆ อยู่ แล้วพอปฏิบัติขึ้นไปมันแตกต่างเลย มันแตกต่างมันรู้จริงขึ้นมาอย่างนี้ มันแตกต่างเห็นไหม เคยเชื่อ เชื่อก็เชื่อมาแล้ว พระสารีบุตรทำไมไม่เชื่อก็เชื่อมาแล้ว แต่ความเชื่อเป็นอันหนึ่ง เวลาปฏิบัติแล้วมันเป็นอีกอันหนึ่งเห็นไหม

พระพุทธเจ้าถึงวางปริยัติ ปฏิบัตินี้ไง ปริยัติ ปฏิบัติเวลาปฏิบัติเห็นจริงขึ้นมา นิพพานไม่เป็นนิพพาน นิพพานมันจะเป็นอะไร นิพพานเป็นสักแต่ว่านิพพาน นิพพานมันเป็นอนัตตา มันเป็นอนัตตาอยู่แล้วแต่เขาไม่พูดออกมาตรงๆ ถ้าอนัตตาแล้วมันจะมีโอกาสมีความเป็นไปของโลก โลกมันเป็นไปเห็นไหม นี่ตาบอด ถ้ามันลูบๆคลำๆ ได้ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลูบๆคลำๆได้มันเป็นปริยัติ แล้วปริยัติถ้าไม่ปฏิบัติมันก็เป็นอย่างนั้น ยิ่งศึกษายิ่งงง แต่คำว่ารู้ตีความได้ ยึดหลักอันนั้นได้ ยึดหลักเพราะมันเป็นบาลียึดอันนั้นไว้ แล้วก็ตีความกันไป

แล้วความถูกต้องใครตีความได้ ใครแตกฉานได้มากกว่า ความแตกฉานมากกว่าความแตกฉานในภาษาในนิรุตติศาสตร์ต่างๆ แต่ไม่แตกฉานในกิเลสไง กิเลสมันก็อาศัยสิ่งนั้นมาอ้างอิง มันไม่แตกฉานในกิเลส มันไม่ได้ตีหัวกิเลส มันไม่ได้เหยียบย่ำกิเลสลงไป มันไม่กล้าเหยียบย่ำกิเลสลงไปเพราะมันสักแต่ว่า กิเลสก็สักแต่ว่าไม่เป็นไรรู้เท่าก็จบ คำว่ารู้เท่าก็จบ มันฟ้อง มันฟ้องถึงการไม่มีการกระทำสิ่งใดๆ เลย มันฟ้องถึงว่าจิตนี้ไม่เป็นไปเลย ไม่เคยรู้เคยเห็นไม่เคยจับต้องใดเลย

เห็นไหม พอจับต้องขึ้นมาสิ่งต่างๆ เห็นไหม จับต้องเนี่ย เนี่ย จับงูเห่านึกว่าเป็นปลาไหล ปล่อยวางมันก็จบ ขยับมือมันฉกเอาทันทีเลยล่ะ ถ้ายังไม่ได้ชำระกิเลสยังไม่ได้จัดการมัน อย่าเผลอนะ เดี๋ยวเผลอมันจะเหยียบย่ำ เผลอมันจะเหยียบย่ำเลย นั้นนะตาบอด ดังนั้นยกไว้มันเป็นเรื่องโลกๆ เพราะว่าโลกเป็นอย่างนั้นส่วนใหญ่แล้วจิตบอดหมด ถ้าจิตบอดหมด เราคลำช้างอยู่แล้วพอเขามาคลำให้ดู เราก็เชื่อกันไปหมด แต่ในภาคปฏิบัติเรานะ เขายังบอกว่าจำเป็นจะต้องพูดอย่างนั้นด้วยหรือ จำเป็นต้องพูดอย่างนั้นเพราะมันมีเหตุผล มันมีข้อเท็จจริงในใจอย่างนั้นรองรับ มันถึงพูดออกมาได้ตามข้อเท็จจริงตามความเป็นจริง

พูดที่ไหน ปัจจุบันธรรม พูดที่ไหน เมื่อไหร่ มันจะเป็นอันเดียวกันตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นความจำนะคลาดเคลื่อน จำแม่นจำชัดเจน โอ้โฮ พูดได้ชัดเจนมากเลย แต่ความจำเดี๋ยวก็เปลี่ยนแปลง แล้วความจำมันก็จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา สิ่งต่างๆ เห็นไหม ตาบอดกับตาดี เราเองโดยหัวใจของเรานะ มันมีกิเลสตัณหามันก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยู่แล้ว แล้วยิ่งเราเองเราก็ไม่แน่ใจเราอยู่แล้ว เราเองก็คลาดเคลื่อนอยู่แล้ว ด้วยศรัทธาความเชื่อมันก็เปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้นนะ หัวใจคนนะมันกลับกลอก กิเลสเห็นไหม ดูสิมันอยู่ในใจของเราน่ะ ใจของเรามีกิเลสอยู่เหมือนช้างสารที่ตกมัน เอาไว้มันไม่อยู่หรอก ความคิดความคำนึงของเรา ความสงสัย ความหมักหมมในใจมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาถึงไว้ใจไม่ได้หรอก ความไว้ใจสิ่งใดๆ ไม่ได้ เราถึงต้องรักษาเรา แล้วเราแก้ไขของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ เอวัง